5 ก.ค. 2565
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ซึ่งเป้าหมายในการระดมทุนและความเป็นมาของธุรกิจเป็นอย่างไร เราไปติดตามการเปิดใจนี้กับ คุณสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ
ความเป็นมาของบริษัท บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมมามากกว่า 25 ปี ซึ่งผู้บริหารปัจจุบันนับเป็นรุ่นที่ 2 บริษัทก่อตั้งโดย นายสมชาย โกกนุทาภรณ์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันในจังหวัดชลบุรี ปี 2534 ก่อตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบแห่งแรกในภาคตะวันออกขึ้น ปี 2537 ก่อตั้งโรงงานผลิตน้ำยางข้นปี 2543-48 ตั้งโรงงานผลิตยางแท่ง มีกลุ่มผู้ผลิตยางล้อรถยนต์ชั้นนำของโลกเป็นลูกค้าหลัก ปี2552-53 ร่วมทุนกับบริษัทซูมิโตโม รับเบอร์ อินดัสตรีส์ ทำสวนยางพาราที่ จ.หนองบัวลำภู และตั้งโรงงานผลิตยางแท่งที่ จ. อุดรธานีปี 2553 ได้ขยายธุรกิจสู่อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ผลิตและจำหน่ายก๊าซและไฟฟ้าชีวภาพปี 2556 ร่วมทุนกับบริษัทSime Darby Oils Company Limited ตั้งโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบที่จ. ตราด ปี 2561 ขยายธุรกิจให้บริการจัดการกากอินทรีย์ โดยนำกากอินทรีย์มาให้เป็นวัตถุดิบในการผลิตก๊าซชีวภาพTEGH ประกอบธุรกิจอะไรบ้างTEGH ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก 3 ธุรกิจ ได้แก่ 1. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และ3. ธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ ผ่านการดำเนินงานของบริษัทย่อย จำนวน 11 บริษัท และการร่วมค้า จำนวน 1 บริษัทความร่วมมือกับบริษัทซูมิโตโม รับเบอร์ อินดัสตรีส์ในช่วงหลังวิกฤติซับไพร์ม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยการสนับสนุนให้ซื้อรถยนต์ ทำให้ราคายางพาราปรับเพิ่มขึ้นจาก กิโลกรัมละ 30 บาทเป็น 200 บาท ในช่วงที่ยางพาราราคาแพงลูกค้าชาวต่างชาติได้เข้ามาในประเทศเพื่อให้แหล่งวัตถุดิบที่ยั่งยืน หรือ Sustainable supply Chain จึงเป็นโอกาสทำให้บริษัทได้ร่วมทุนกับ บริษัทซูมิโตโมฯ และทำ 2 โปรเจคร่วมกัน ได้แก่ ทำโรงงานยางแท่งที่จ.อุดรธานี และสวนยางพาราขนาด 6,300 ไร่ ที่ จ.หนองบัวลำภูการรุกทำธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์สาเหตุที่ TEGH ทำ ธุรกิจนี้ เนื่องจากเมื่ออุตสาหกรรมเติบโตขึ้น มีการใช้ทรัพยากรมากทั้งน้ำ และพลังงานและของเสียที่ออกมาจากขบวนการผลิต จึงเกิดแนวคิดที่จะให้มีระบบจัดการแบบบูรณาการ เนื่องจากในกลุ่มTEGH มีโรงงานใกล้ๆกัน จึงเกิดเป็นธุรกิจที่ทำให้ Waste to Value หรือนำกากของเสียมาผลิตเป็นพลังงานชีวภาพ และมาผลิตไฟฟ้า สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2564 รายได้หลักของบริษัทยังมาจากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางพาราธรรมชาติ โดยมีสัดส่วนประมาณ 83% ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มมีสัดส่วนประมาณ 16% ที่เหลือเป็นรายได้จากพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์และอื่นๆ อีกประมาณ 1% ลูกค้าของบริษัทเป็นกลุ่มไหนในส่วนธุรกิจหลัก ได้แก่การผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ กลุ่มลูกค้าเป็นผู้ผลิตยางล้อชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง อาทิ Michelin, Bridgestone, Goodyear, Sumitomo, Pirelli, Continental, Apollo, Prometeon, Yokohama, Hankook, Nexen, Sentury, Westlake, Kama, Deetone,Otani, Vee Rubber, Superstone, Prinx Chengshan, Kumho และ Zhongce เป็นต้นลูกค้าของบริษัทมีทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนเท่าๆกัน 50:50 ปัจจุบันส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทหากดูจากกำลังการผลิตและเทียบกับปี 2564 ข้อมูลของสมาคมผลิตยางพาราไทย เราเป็นผู้ผลิตยางแท่งอันดับที่ 6 ของประเทศไทย ซึ่งบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 410,000 ตันต่อปี หลังจากที่เข้าตลาดฯแล้ว เราก็จะขึ้นไปอยู่ที่ Top 5 ของประเทศ ของการเป็นผู้ผลิตยางแท่งในประเทศสาเหตุที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงและเราอยากมองหาพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเข้าตลาดหลักทรัพย์จะทำให้เราเป็นองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากพันธมิตร และจะมีโอกาสในเรื่องของแหล่งระดมทุนมากขึ้น อีกทั้งการระดมทุนในครั้งนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไปได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการต่อยอดความสำเร็จของ TEGH ด้วยเงินที่ได้จากการเข้าตลาดจะทำไปใช้ทำอะไรบ้างเงินที่ได้ในครั้งนี้เราจะเอาไปขยายกำลังการผลิตตามแผนที่ว่า เราตั้งเป้าเป็นผู้ผลิตยางแท่งอันดับ 5 ของประเทศโดยการขยายกำลังการผลิตอีก 70% จาก 240,000 ตัน เป็น 410,000 ตัน และสิ่งที่จะขยายมากอีกอย่างคือการขยายธุรกิจด้านพลังงานทดแทนและการกำจัดกากอินทรีย์ เพราะมองว่าในอนาคตในพื้นที่ที่บริษัทตั้งอยู่หรือ พื้นที่ EEC จะมี Waste ค่อนข้างเยอะ และสิ่งที่ขยายจะทำให้บริษัทก้าวสู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อตอบสนองต่อเทรนด์ที่ลูกค้าจะมีในอนาคตหุ้นของ TEGH เป็นหุ้นประเภทไหนเราอยากให้นักลงทุนมองหุ้นเราเป็นหุ้นที่มีทั้งการเติบโตเร็วหรือ Growth Stock และหุ้นที่มีปันผลสูง หรือ Dividends Stock เพราะเรามีแผนที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 30%